๘๐ ปี แห่งประวัติศาสตร์การเรือดำน้ำราชนาวีไทย 
"๔ กันยายน วันเรือดำน้ำไทย"
ย้อนไปเมื่อวันท
ี่ ๔ 
กันยายน ๒๔๘๐ บริษัท มิตซูบิชิ แห่งเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น 
ซึ่งเป็นบริษัทค
ู่สัญญาการว่าจ้
างต่อเรือดำน้ำ จำนวน ๔ ลำ 
ให้กับกองทัพเรื
อ 
ได้สร้างเรือดำน
้ำ ๒ ลำแรก 
เสร็จสมบูรณ์ ได้แก่ เรือหลวงมัจฉาณุ
 และ เรือหลวงวิรุณ 
จากนั้นได้ทำพิธ
ีส่งมอบเรือดำน้
ำทั้ง ๒ ลำ ให้แก่กองทัพเรื
อ 
.
นับว่าเป็นวันสำ
คัญยิ่งอีกวันหน
ึ่งในประวัติศาส
ตร์กองทัพเรือ และภายหลังจากที
่บริษัทฯ สร้างเรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำ เสร็จสมบูรณ์และ
ส่งมอบเรือให้กอ
งทัพเรือแล้ว เรือหลวงมัจฉาณุ
 เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุท
ร และ เรือหลวงพลายชุม
พล ได้ออกเดินทางจา
กประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๘๑ 
และเดินทางถึงปร
ะเทศไทย 
เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๘๑ ตามลำพัง โดยปราศจากเรือพ
ี่เลี้ยง ซึ่งยังความประห
ลาดใจแก่ชาวญี่ป
ุ่นและชาวอเมริก
ันเป็นอันมาก 
.
เพราะเรือดำน้ำข
นาดเล็กเช่นนี้ต
่างประเทศย่อมมี
เรือพี่เลี้ยงทั
้งสิ้น นี้เป็นสัญลักษณ
์แสดงถึงความกล้
าหาญและความสามา
รถของกำลังพลประ
จำเรือดำน้ำของก
องทัพเรือ
.
สำหรับเรือดำน้ำ
ทั้ง ๔ ลำ เรือหลวงมัจฉานุ
 เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุท
ร และเรือหลวงพลาย
ชุมพล เป็นชื่อพระราชท
าน เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๐ 
.
เรือหลวงมัจฉาณุ
 
(HTMS Matchanu) หมายเลขเรือ ๑ เป็นชื่อพระราชท
าน มาจากชื่อตัวละค
รในวรรณคดีไทยซึ
่งมีอิทธิฤทธิ์ใ
นการดำน้ำ คือ มัจฉานุ 
จากเรื่องรามเกี
ยรติ์ มี 
เรือเอกซุ้ย นพคุณ เป็นผู้บังคับกา
รเรือ วางกระดูกงูเมื่
อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ 
ปล่อยลงน้ำเมื่อ
วันที่ ๒๔ ธันวาคม 
พ.ศ.๒๔๗๙
.
เรือหลวงวิรุณ (HTMS Wirun) หมายเลขเรือ ๒ 
เป็นชื่อพระราชท
าน 
มาจากชื่อตัวละค
รในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ใ
นการดำน้ำ คือ วิรุณจำบัง 
จากเรื่องรามเกี
ยรติ์ มี 
เรือเอกพร เดชดำรง เป็นผู้บังคับกา
รเรือ. วางกระดูกงูเมื่
อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ 
ปล่อยลงน้ำเมื่อ
วันที่ ๒๔ ธันวาคม 
พ.ศ.๒๔๗๙
.
เรือหลวงสินสมุท
ร (HTMS Sinsamut) หมายเลขเรือ ๓ 
เป็นชื่อพระราชท
าน 
มาจากชื่อตัวละค
รในวรรณคดีไทย ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ใ
นการดำน้ำ คือ สินสมุทร 
จากเรื่องพระอภั
ยมณี มี 
เรือเอกสนอง ธนาคม เป็นผู้บังคับกา
รเรือ วางกระดูกงูเมื่
อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๙ 
ปล่อยลงน้ำเมื่อ
วันที่ ๑๔ พฤษภาคม 
พ.ศ.๒๔๘๐ 
.
เรือหลวงพลายชุม
พล (HTMS Phlai-chumphon)
 หมายเลขเรือ ๔ เป็นชื่อพระราชท
านมาจากชื่อตัวล
ะครในวรรณคดีไทย 
ซึ่งมีอิทธิฤทธิ
์ในการดำน้ำ คือ พลายชุมพล 
จากเรื่องขุนช้า
งขุนแผน มี 
เรือเอก สาคร จันทประสิทธิ์ เป็นผู้บังคับกา
รเรือ วางกระดูกงูเมื่
อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ 
ปล่อยลงน้ำเมื่อ
วันที่ ๑๔ พฤษภาคม 
พ.ศ.๒๔๘๐
.
เรือหลวงมัจฉาณุ
 และเรือหลวงวิรุ
ณ ประกอบแล้วเสร็จ
สมบูรณ์ เมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๐ 
ทางบริษัท มิตซูบ
ิชิ ได้จัดพิธีส่
งมอบให้เป็นกรรม
สิทธิของกองทัพเ
รือไทย และนำลูกเรือเข้
าประจำเรือ 
.
เรือดำน้ำของไทย
ทั้งสี่ลำ เดินทางออกจากเม
ืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน 
พ.ศ.๒๔๘๑ ถึงกรุงเทพเมื่อ
วันที่ 
๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๑ เข้าประจำการเมื
่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๑ 
ได้ออกปฏิบัติกา
รในสงครามอินโดจ
ีนกับฝรั่งเศส และสงครามโลกครั
้งที่สอง เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ 
ซึ่งในระหว่างปร
ะจำการ 
มีการปฏิบัติงาน
ระหว่างสงครามที
่สำคัญที่ต้องจา
รึกไว้ คือ เมื่อครั้งกรณีพ
ิพาทอินโดจีน-ฝร
ั่งเศส หลังจาก เรือหลวงธนบุรี 
และเรือตอร์ปิโด
ถูกเรือฝรั่งเศส
 ยิงจมแล้ว เรือหลวงมัจฉาณุ
 เรือหลวงวิรุณ เรือหลวงสินสมุท
ร และเรือหลวงพลาย
ชุมพล ได้ไปลาดตระเวนเ
ป็น ๔ แนว อยู่หน้าบริเวณฐ
านทัพเรือเรียม ใช้เวลาดำอยู่ใต
้น้ำทั้งสิ้นลำล
ะ ๑๒ ชั่วโมง ในเวลากลางวัน 
ส่วนกลางคืนแล่น
ลาดตระเวนบนผิวน
้ำ นับเป็นปฏิบัติก
ารดำที่นานที่สุ
ดที่เคยดำมา ซึ่งยังปรากฏจาก
หลักฐานของฝ่ายฝ
รั่งเศสในการรบท
ี่เกาะช้างว่าฝร
ั่งเศสมีความหวั
่นเกรงเรือดำน้ำ
ทั้ง ๔ ลำ ของไทยมาก 
แต่เพื่อผลของกา
รยุทธ 
จึงได้ตัดสินใจเ
ลี่ยงเข้ามาปฏิบ
ัติการในอ่าวไทย
 โดยกำหนดแผนการป
ฏิบัติเป็นช่วงร
ะยะเวลาสั้นมาก เมื่อปฏิบัติการ
เสร็จก็รีบถอนตั
วกลับทันที เพราะเกรงว่าจะถ
ูกต่อตีด้วยเรือ
ดำน้ำ
.
เรือดำน้ำทั้ง ๔ ลำ 
ปลดประจำการเมื่
อวันที่ ๓๐ 
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๔ พร้อมกัน เนื่องจากขาดแคล
นชิ้นส่วนอะไหล่
 หลังจากญี่ปุ่นพ
่ายแพ้สงครามโลก
 และไม่ได้รับอนุ
ญาตให้ผลิตอาวุธ
ยุทโธปกรณ์
.
โรงงานแบตเตอรีข
องไทยที่ตั้งขึ้
นก็ไม่สามารถผลิ
ตแบตเตอรี่สำหรับ
ใช้ประจำเรือได้
 ประกอบกับเหตุกาณ์กบฏแมนฮัตตัน
 เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๔ 
ทำให้มีการเปลี่
ยนแปลงอย่างขนาน
ใหญ่ในกองทัพเรื
อ มีคำสั่งยุบหมวด
เรือดำน้ำ โอนย้ายไปรวมกับ
หมวดเรือตรวจฝั่
งที่ตั้งขึ้น 
.
ซึ่งเรือดำน้ำทั
้ง 
๔ ลำ ได้รับใช้ราชการ
ในกองทัพเรือเป็
นเวลากว่า ๑๔ 
ปีเต็ม
.
ภายหลังปลดประจำ
การ เรือทั้ง ๔ ลำ ได้นำมาจอดเทียบ
กันที่ ท่าเรือในแม่น้ำ
เจ้าพระยา ใกล้กับ โรงพยาบา
ลศิริราช ต่อมาได้มีการขา
ยเรือให้กับบริษ
ัทปูนซีเมนต์ไทย
 เพื่อทำการศึกษา
และ Reverse engineering 
คงเหลือแต่หอบัง
คับการ อาวุธปืน 
และกล้องส่อง ทางกองทัพเรือ ได้นำมาจัดสร้าง
สะพานเรือจำลอง จัดแสดงที่พิพิธ
ภัณฑ์ทหารเรือ หน้าโรงเรียนนาย
เรือ และที่ป้อมพระจุ
ลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปรา
การ
.
เรือดำน้ำนับได้
ว่าเป็นอันตรายอ
ย่างยิ่งในการยุ
ทธทางเรือ โดยที่เรือดำน้ำ
 สามารถดำน้ำอยู่
ใต้ท้องทะเล ซ่อนพรางมิให้ตร
วจพบได้ง่าย และสามารถทำลายก
ำลังเรือผิวน้ำไ
ด้โดยอาวุธตอร์ป
ิโดหรืออาวุธปล่
อยนำวิถีจากท่อต
อร์ปิโดใต้น้ำ ในการปราบเรือดำ
น้ำข้าศึก เพียงหนึ่งลำ 
จะต้องใช้กำลังเ
รือผิวน้ำ ๔ - ๕ 
ลำ ควบคู่กับการใช้
เฮลิคอปเตอร์และ
อากาศยานปราบเรื
อดำน้ำจำนวนหนึ่
ง ทำให้ต้องใช้จ่า
ยงบประมาณเป็นจำ
นวนมากในการจัดต
ั้งหน่วยล่าทำลา
ย (HUNTER – KILLER) เรือดำน้ำ 
.
แต่หากประเทศไทย
มีเรือดำน้ำแล้ว
จะสามารถใช้เรือ
ดำน้ำเป็นเครื่อ
งมือทำลายเรือดำ
น้ำข้าศึกได้อย่
างดี และสามารถช่วยป้
องปรามข้าศึก รวมถึงการป้องกั
นและรักษาเส้นทา
งคมนาคมทางทะเลท
ี่กว่าร้อยละ ๙๕ ของสินค้าเข้า-อ
อก ต้องใช้เส้นทางค
มนาคมทางทะเลได้
เป็นอย่างดีอีกด
้วย
.
ปัจจุบันกองทัพเ
รือกำลังจะมีเรื
อดำน้ำเข้าประจำ
การอีกครั้งในปี
 พ.ศ.๒๕๖๖
ที่มา: กองทัพเรือ Royal Thai Navy
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น